วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

หน่วยความจำแคช (Cache)




ในระบบคอมพิวเตอร์จะมีอุปกรณ์บางส่วนที่ทำงานช้า จึงการใช้วิธีนำหน่วยความจำแบบแรมมาเพิ่มความเร็วของอุปกรณ์เหล่านั้น อันจะทำให้การทำงานของคอมพิวเตอร์โดยรวมเร็วขึ้นมาก เรียกหน่วยความจำส่วนนี้ว่า หน่วยความจำแคช (cache memory) ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
  1.disk cache คือการเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำหลักของเราก่อน เมื่อ CPU ต้องการจะหาข้อมูล ก็จะหาใน dish cache ก่อนแล้วค่อยเข้าไปค้นหาใน Harddisk
  2.Memory cache จะดึงข้อมูลมาเก็บไว้ใน memory ซึ่งจะถึงขอ้มูลได้รวดเร็วกว่า แต่มีความจำที่เล็กกว่า

(ที่มาข้อมูล : http://cptd.chandra.ac.th/selfstud/it4life/sub%20vol4.htm )

การออกแบบ Microprocessor 64 bit ใน PC


Power4 Chip เป็น ซีพียู 64 บิต ใช้แนวคิดสถาปัตยกรรมแบบ RISC( Reduced Instruction- Set Computing หรือชิปที่มีการลดทอนคำสั่ง ) ที่สามารถประมวลผลคำสั่งได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา เป็น CPU แบบ Multi-core มีหน่วยประมวลผล 2 หน่วย ที่อยู่ใน Chip ตัวเดียวมีชุดคำสั่งพิเศษ (ISA) เป็นคำสั่งพิเศษที่ทำให้แพลตฟอร์มมีความสามารถในการประมวล ผลแบบ 64 บิตใช้กันในระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กร AIM (Apple-IBM-Motorola) ทำให้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติการได้เร็วมากขึ้น เพราะกำหนดให้ตัวประมวลผลแบบจุลภาค (microprocessor) แต่ละตัวทำงานจำกัดเฉพาะบางอย่าง ซึ่ง Power 4Chip เป็นพื้นฐานของการพัฒนา PowerPC

(ที่มาข้อมูล : ced.kmutnb.ac.th/wws/document/history_of%20_cpu.doc)

Microcontroller คืออะไร




ไมโครคอนโทรลเลอ คือ อุปกรณ์ควบคุมขนาดเล็ก ซึ่งบรรจุความสามารถที่คล้ายคลึงกับระบบคอมพิวเตอร์ โดยในไมโครคอนโทรลเลอร์ได้รวมเอาซีพียู, หน่วยความจำ และพอร์ต ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์เข้าไว้ด้วยกัน โดยทำการบรรจุเข้าไว้ในตัวถังเดียวกัน
โครงสร้างโดยทั่วไป ของไมโครคอนโทรลเลอร์นั้น สามารถแบ่งออกมาได้เป็น 5 ส่วนใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้
1. หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู (CPU : Central Processing Unit)
2. หน่วยความจำ (Memory)
3. ส่วนติดต่อกับอุปกรณ์ภายนอก หรือพอร์ต (Port) มี 2 ลักษณะคือ พอร์ตอินพุต (Input Port) และพอร์ตส่งสัญญาณหรือพอร์ตเอาต์พุต (Output Port)
4. ช่องทางเดินของสัญญาณ หรือบัส (BUS) คือเส้นทางการแลกเปลี่ยนสัญญาณข้อมูลระหว่าง ซีพียู หน่วยความจำและพอร์ต เป็นลักษณะของสายสัญญาณ จำนวนมากอยู่ภายในตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ โดยแบ่งเป็นบัสข้อมูล (Data Bus) , บัสแอดเดรส (Address Bus) และบัสควบคุม (Control Bus)
5.วงจรกำเนิดสัญญาณนาฬิกา นับเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากอีกส่วนหนึ่ง เนื่องจากการทำงานที่เกิดขึ้นในตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ จะขึ้นอยู่กับการกำหนดจังหวะ หากสัญญาณนาฬิกามีความถี่สูง จังหวะการทำงานก็จะสามารถทำได้ถี่ขึ้นส่งผลให้ไมโครคอนโทรลเลอร์ตัวนั้น มีความเร็วในการประมวลผลสูงตามไปด้วย

(ที่มาข้อมูล : http://th.wikipedia.org/wiki/ไมโครคอนโทรลเลอ )

ประวัติ Intel/AMD/Apple A4




1. Intel เป็น บริษัทผู้ผลิตซีพียูที่เก่าแก่และมีการพัฒนา มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ซีพียู 8086 , 8088 และซีพียูในตระกูล 80x86 เรื่อยมา จนมาถึง Celeron , Pentium II และ III ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยนั้น ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ยุค Celeron II, Pentium 4 และ Pentium 4 Extreme Edition ที่ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้อย่างกว้างขวาง เรื่อยมาจนมาถึงยุคของ Celeron D และ Pentium 4 ภายใต้รหัส Processor Number ใหม่ รวมไปถึงซีพียูในกลุ่ม Dual และ Quad-Core อย่าง Pentium D , Pentium Dual-Core, Pentium Extreme Edition , Core Duo, Core 2 Duo, Core 2 Quad และ Core 2 Extreme ที่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคซีพียูในแบบ Dual & Multi-Core บนเครื่องซีพีที่ใช้กันอยู่แพร่หลายในปัจจุบัน รวมทั้งซีพียูบนโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมแบบใหม่อย่าง Nehalem ที่จะมาพร้อมกันแบรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า Core i7

ADM Logo - Color
2. แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์, Inc. หรือ เอเอ็มดี เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งเมื่อ ปี ค.ศ. 1969 โดยพนักงานเก่าจากบริษัท Fairchild Semiconductor โดย เอเอ็มดี ผลิตสินค้าเกี่ยวกับ เซมิคอนดัคเตอร์ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเป็นผู้พัฒนา ซีพียู และเทคโนโลยีต่างๆ ออกสู่ตลาด และ ผู้ใช่ทั่วไปโดยที่สินค้าหลักของบริษัทคือ ไมโครโพรเซสเซอร์,เมนบอร์ดชิปเซ็ต,การ์ดแสดงผล,ระบบฟังตัว สำหรับคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์,คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล,ระบบฝังตัว
        AMD เป็นผู้ผลิตอันดับ 2 ในตลาดของไมโครโพรเซสเซอร์ ที่มีพื้นฐานอยู่บน x86 อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิปกราฟิกการ์ดรายใหญ่ของโลก และ ยังผลิตหน่วยความจำแบบแฟลช โดยในปี 2010 AMD เป็นผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ อันดับที่ 12 ของโลก
        AMD นับเป็นคู่แข่งที่สำคัญของอินเทลในตลาดไมโครโพรเซสเซอร์ และมีคดีความฟ้องร้องกันอยู่ในหลายประเทศ เรื่องอินเทลผูกขาดการค้า ปัจจุบันได้ทำการยอมความกันไปแล้ว



3. Apple A4 ได้เปิดตัว (พร้อมกับ iPad) เมื่อ 27 มกราคม 2553  ในช่วงที่ Apple กำลังสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมามากมาย
      7 มิถุนายน 2553    สตีฟ จ๊อบส์ ประกาศยืนยันในที่สาธารณะว่า  iPhone 4 จะมี A4 Processor ถึงแม้ว่าช่วงนั้น A4 จะไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายนัก แต่มันก็มีช่วงความถี่เดียวกันกับ iPad ความกว้างของบัสหรือแคชที่เหมือนกับ A4 ที่พบก่อนหน้าที่จะผลิต iPad
      1 กันยายน 2553    iPod Touch และ AppleTV มีการปรับปรุงเพื่อให้ใช้ได้กับ A4 Processor

(ที่มา : http://bc54231.blogspot.com/2011/07/cpu-intel.html)
(ที่มา : http://108like.com/computer/AMD_CPU.html)
(ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vblog/114594)

Microprocessor ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

PC/Macintosh/Notebook/SmartPhone/Tablet

Microprocessor ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน คือ
- Intel Core i7 ใช้สำหรับ PC/Macintosh/Notebook
- windows8 RTM ใช้สำหรับ SmartPhone/Tablet



ที่มารูปภาพ  : http://ongfong69.wordpress.com/2010/10/22/cpu-intel-corei7/


ที่มารูปภาพ  : http://www.businessplus.co.th/index.php/product?id=1047

ส่วนประกอบโครงสร้างภายใน Microprocessor (RISC)


   โครงสร้างชุดคำสั่งที่ใช้ใน RISC ของยกตัวอย่างของชุดคำสั่ง MIPS ไว้กระทำรีจิสเตอร์ 3 ตัว
คือ scr1, scr2, dest กล่าวถึง scr เป็นรีจิสเตอร์ตัวทำงาน dest เป็นรีจิสเตอร์ผลลัพธ์ การออกแบบคำสั่งมุ่งไปที่การใช้รีจิสเตอร์ภายใน ดังนั้น รีจิสเตอร์มักมีขนาดกว้าง ขนาด 32 บิตจะพิจารณาคำสั่งที่แสดงจะพบว่าคำสั่งเพียงเท่านี้ การใช้งานหรือการเขียนโปรแกรม ให้ทำงานในสิ่งต่างๆที่ต้องการ  การออกแบบ RISC ที่ใช้สถาปัตยกรรมที่แตกต่างจาก CISC โดยสิ้นเชิง

ความสามารถอยู่ที่การจัดการการหน่วยความจำ
               เมื่อซีพียู RISC ทำงานด้วยคำสั่งที่ใช้กับรีจิสเตอร์เป็นหลักมีเพียง LD กับ ST ที่ใช้จากหน่วย
ความจำLD กับ ST จึงต้องเกี่ยวกับหน่วยความจำที่ซีพียูต้องติดต่อ การที่ซีพียูต้องติดต่ออย่าง
รวดเร็ว ต้องอาศัยหน่วยความจำแคช ดังนั้น ประสิทธิภาพของ RISC ขึ้นอยู่กับการจัดโครงสร้าง
ของหน่วยความจำที่หน่วยความจำแคชจะต้องมีบทบาทที่ทำให้ซีพียูติดต่อข้อมูลเป็นส่วนใหญ่
โครงสร้างของแคชที่ใช้กับ RISCเป็นแบบ direct mapped cache ใช้การติดต่อกับหน่วยความ
จำนี้จำทำให้หน่วยความจำต่อกับแคชในลักษณะที่มีการกำหนดตำแหน่ง แคชแบบนี้จะทำให้การเข้า
ถึงทำได้เร็ว

ที่มาข้อมุล http://www.geocities.ws/micro2comed/page23.htm

ชนิดของ Microprocessor


เราสามารถแบ่งไมโครโพรเซสเซอร์ตามสถาปัตยกรรมได้เป็น 2 ชนิด คือ



(ที่มารูปภาพ : http://en.wikipedia.org/wiki/Reduced_instruction_set_computing )

1. Reduced Instruction Set Computer
            RISC คือ ไมโครโพรเซสเซอร์ที่มีคำสั่งน้อย แต่คำสั่งทำงานได้เร็ว ในยุคคริสต์ทศวรรษ 1970 ไมโครโพรเซสเซอร์ที่ได้ คือ IBM 801, Stanford MIPS และ Berkeley RISC 1 และ 2 ไมโครโพรเซสเซอร์ชนิดนี้ในยุคต่อมาได้แก่ SPARC ของ ซัน ไมโครซิสเต็มส์ และ PowerPC ของ โมโตโรล่า



(ที่มารูปภาพ : http://simple.wikipedia.org/wiki/Complex_instruction_set_computer )

2. Complex Instruction Set Computer
            CISC เป็นสถาป้ตยกรรมของไมโครโพรเซสเซอร์ที่มีคำสั่งมากกว่าและซับซ้อนกว่า ได้แก่ ไมโครโพรเซสเซอร์ x86 เพนเทียมและเซเลรอนของอินเทลและ ไมโครโพรเซสเซอร์จากบริษัทเอเอ็มดี (AMD)
ที่มาข้อมูล : http://th.wikipedia.org/wiki/ไมโครโพรเซสเซอร์

ประวัติและวิวัฒนาการ Microprocessor



(ที่มารูปภาพ : http://161.200.184.9/webelarning/elearning%20Computer53/Real/microprocessor2.html)

ไมโครโพรเซสเซอร์เป็นผลงานที่ได้มาจากการรวบรวมแนวความคิดของนักวิทยาศาสตร์ หลายสาขา ซึ่งสาขาที่สำคัญได้แก่ สาขาคณิตศาสตร์ สาขาเครื่องกล สาขาไฟฟ้า และสาขาการคำนวณโดยสามารถแบ่งเป็นยุคต่าง ๆ ได้ดังนี้
 1.     ยุคของกลไก : เป็นยุคเริ่มต้นที่เกิดจากความคิดของมนุษย์ในสมัยของ Babylonians ต้องการที่จะใช้เครื่องคำนวณที่ทำงานได้ด้วยมือของมนุษย์ จึงได้คิดค้น “ลูกคิด ” ด้วยการใช้งานที่เป็นระบบตัวเลขง่าย โดยใช้เลขฐานสิบ ต่อมาในปี 1801 John Jacquard คิดค้นระบบบัตรเจาะรู (IBM card) เป็นรูปแบบที่ใช้งานเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
           ในปี 1833 Charles Babbage ผู้ที่ได้ชื่อว่าบิดาแห่ง เครื่องคอมพิวเตอร์แบบดิจิตอล โดยความร่วมมือของ Augusta Ada Baron สร้างเครื่องคำนวณที่ชื่อ Analytical engine ขึ้นเพื่อใช้ในการคำนวณและพิมพ์ตารางคณิตศาสตร์  โดยนำไปในการคำนวณตารางการเดินเรือของกองทัพเรือ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในการทำงาน  ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลขนาด 20 หลัก ได้1,000 ค่า

2.     ยุคของไฟฟ้า : เริ่มขึ้นในปี 1800  Michael Faraday คิดค้นและสร้างมอเตอร์ไฟฟ้าขึ้น เพื่อสนับสนุนการทำงานของเครื่องคำนวณของ Blaise Pascal ซึ่งใช้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานในสำนักงานจนถึงปี 1970 ซึ่งมีการนำเครื่องคำนวณที่มีขนาดเล็กมาใช้งานคิดค้นโดย Bomar และในช่วงเดียวกัน Monroe ได้คิดค้นเครื่องคำนวณแบบตั้งโต๊ะที่มีการทำงานได้ 4 แบบในปี 1854 ได้มีการกำหนดเป็นรูปแบบของการใช้ logic แทน
         ในปี 1889 Herman Hollerithทำการพัฒนาระบบบัตรเจาะรูเพื่อใช้ในการจัดเก็บข้อมูลที่มีลักษณะการทำงานเหมือนกับของ Babbage แต่ใช้แนวความคิดของ Jacquard และได้พัฒนาเครื่องโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อให้สามารถนับ จัดเรียง และตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะทำการจัดเก็บลงในบัตรเจาะรู โดยที่เครื่องจะทำงานได้โดยไม่ต้องใช้มนุษย์คอยควบคุมการทำงานของเครื่องในปี 1890 และในปี 1896 Herman Hollerith ได้จัดตั้งบริษัทโดยใช้ชื่อว่า Tabulating Machine company ในเวลาต่อมาได้ขยายงานจนเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ใช้บัตรเจาะรู และเรียกบัตรเจาะรูนี้ว่า “Hollerith cards” โดยเก็บเป็นรหัสขนาด 12 บิต และเรียกรหัสนี้ว่า “Hollerith code" และใช้งานเครื่อง Tabulating machine จนถึงปี 1941
         ในปี 1906 วงการอิเล็กทรอนิกส์ได้มีการเริ่มต้นพัฒนาหลอดสูญญากาศขึ้น โดยหลอดที่ใช้งานคือ หลอดไทรโอด ในช่วงปี1958 Jack Kilby ได้คิดค้นวงจรรวม (Integrated Circuit : IC) ที่ Texas Instrument ซึ่งอยู่ในรูปแบบของวงจรดิจิตอล คือ RTLในปี 1970 เป็นการสร้างชิพที่มีการรวม transistors จำนวน 15,000 ตัวเข้าไว้ในชิพซิลิกอนเพียงชิพเดียว(LSI : Large Scale Integrated Circuit) จึงทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลง
 สำหรับไมโครโพรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1971 โดยทางบริษัทอินเทล เป็นผู้ผลิตออกมาคือ 4004 ผู้คิดค้นและออกแบบคือ Marcian E. Hoff ซึ่งถือได้ว่าเป็นการจุดประกายให้กับไมโครโปรเซสเซอร์ในปัจจุบัน
             
3.    ยุคของไมโครโพรเซสเซอร์ : เริ่มต้นขึ้นในปี 1971 ได้มีการรวมตัวกันผลิตอุปกรณ์ที่เป็นตัวประมวลผลข้อมูลที่เรียกว่า "Microprocessor" จากพื้นฐานมีขนาด 4 บิต LSI และพัฒนาต่อเนื่องจงในปัจจุบันเป็น iA64 (Itanium)   ที่มีขนาด 128 บิต SLSI (Super large-scale integrated circuit) ปัจจุบันเป็นช่วงที่มีการใช้งาน Microprocessor กันมากและการพัฒนาไม่ได้หยุดอยู่เท่านี้ การพัฒนาระบบให้มีขีดความสามารถใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์มากขึ้น หรือที่เรียกว่า "Artificial Intelligence" ซึ่งใช้การประมวลผลแบบขนานส่วนการประมวลผล (Parallel Processing)
              จากประวัติความเป็นมาของ Microprocessor พบว่าจุดกำเนิดเริ่มจากการใช้ลูกคิด แล้วจึงพัฒนามาใช้ฟันเฟืองโดยต่อมาเป็นการใช้หลอดสูญญากาศและรีเลย์ เมื่อมีการผลิตสารกึ่งตัวนำและทรานส์ซิสเตอร์ ต่อจากนั้นเป็นอุปกรณ์ประเภทวงจรรวม ( Integrated Circuit ) และพัฒนามาเป็น Microprocessor และ Microprocessor Base Computer System
- Microprocessor ขนาด 4 Bit
- Microprocessor ขนาด 8 Bit
- Microprocessor ขนาด 32 Bit
- ไมโครโพรเซสเซอร์เพนเทียม หรือ Microprocessor ขนาด 64 Bit
ที่มาข้อมุล : http://www.school.net.th/library/snet1/hardware/archit.html

แรม (Ram) (Random Access Memory) และประเภทของ RAM




RAM ย่อมาจาก (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจำหลักที่จำเป็น หน่วยความจำ ชนิดนี้จะสามารถเก็บข้อมูลได้ เฉพาะเวลาเปิดเครื่องเท่านั้นเมื่อปิดเคริ่อง ข้อมูลที่อยู่ภายในหน่วยความจำชนิดจะหายไปทันที หน่วยความจำแรม ทำหน้าที่เก็บชุดคำสั่งและข้อมูลที่ระบบคอมพิวเตอร์กำลังทำงานอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าข้อมูล (Input) หรือ การนำออกข้อมูล (Output) โดยที่เนื้อที่ของหน่วยความจำหลักแบบแรมนี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
     1. Input Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลนำเข้าที่ได้รับมาจากหน่วยรับข้อมูลเข้าโดย ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้ในการประมวลผลต่อไป
     2. Working Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลที่อยู่ในระหว่างการประมวลผล
     3. Output Storage Area เป็นส่วนที่เก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล ตามความต้องการของผู้ใช้ เพื่อรอที่จะถูกส่งไปแสดงออก ยังหน่วยแสดงผลอื่นที่ผู้ใช้ต้องการ
     4. Program Storage Area เป็นส่วนที่ใช้เก็บชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการจะส่งเข้ามา เพื่อใช้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตามคำสั่ง ชุดดังกล่าว หน่วยควบคุมจะทำหน้าที่ดึงคำสั่งจากส่วน นี้ไปที่ละคำสั่งเพื่อทำการแปลความหมาย ว่าคำสั่งนั้นสั่งให้ทำอะไร จากนั้นหน่วยควบคุม จะไปควบคุมฮาร์ดแวร์ที่ต้องการทำงานดังกล่าวให้ทำงานตามคำสั่งนั้นๆ

ชนิดและความแตกต่างของ RAM

Dynamic Random Access Memory (DRAM)
     DRAM จะทำการเก็บข้อมูลในตัวเก็บประจุ (Capacitor) ซึ่งจำเป็นต้องมีการ refresh เพื่อ เก็บข้อมูล ให้คงอยู่โดยการ refresh นี้ทำให้เกิดการหน่วงเวลาขึ้นในการเข้าถึงข้อมูล และก็เนื่องจากที่มันต้อง refresh ตัวเองอยู่ตลอดเวลานี้เองจึงเป็นเหตุให้ได้ชื่อว่า Dynamic RAM

Static Random Access Memory (SRAM)
     จะต่างจาก DRAM ตรงที่ว่า DRAM ต้องทำการ refresh ข้อมูลอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะที่ SRAM จะเก็บข้อมูล นั้น ๆ ไว้ และจำไม่ทำการ refresh โดยอัตโนมัติ ซึ่งมันจะทำการ refresh ก็ต่อเมื่อ สั่งให้มัน refresh เท่านั้น ซึ่งข้อดีของมันก็คือความเร็ว ซึ่งเร็วกว่า DRAM ปกติมาก แต่ก็ด้วยราคาที่สูงว่ามาก จึงเป็นข้อด้อยของมัน

(ที่มาข้อมูล : http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type1/tech03/18/ram.html )

รอม (Rom) (READ-ONLY MEMORY)




รอม คือหน่วยความจำชนิดหนึ่ง ที่มีโปรแกรม หรือข้อมูลอยู่แล้ว และพร้อมที่จะนำมาต่อกับ ไมโครโปรเซสเซอร์ได้โดยตรง ซึ่งโปรแกรม หรือข้อมูลนั้นจะไม่สูญหายไป
          แม้ว่าจะไม่มีการจ่ายไฟเลี้ยงให้แก่ระบบ ข้อมูลที่เก็บอยู่ใน ROM จะสามารถอ่านออกมาได้ แต่ไม่สามารถเขียนข้อมูลเข้าไปได้ เว้นแต่จะใช้วิธีการพิเศษซึ่งขึ้นกับชนิดของ ROM

(ที่มาข้อมูล : http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type1/tech03/18/rom.html )

Hard Disา



      Hard Disk   คือ  อุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลได้มาก  สามารถเก็บได้อย่างถาวรโดยไม่จำเป็นต้องมีไฟฟ้ามาหล่อเลี้ยงตลอดเวลา  เมื่อปิดเครื่องข้อมูลก็จะไม่สูญหาย ดังนั้น  Hard Disk  จึงถูกจัดเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บระบบปฏิบัติการ  โปรแกรม  และข้อมูลต่าง  ๆ  เนื่องจาก  Hard Disk  เป็นอุปกรณ์ที่ง่ายต่อการอัพเกรดทำให้เทคโนโลยี  Hard Disk  ในปัจจุบันได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นการเลือกซื้อ  Hard Disk   จึงควรคำนึงซึ่งประสิทธิภาพที่จะได้รับจาก  Hard Disk

(ที่มาข้อมูล : http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type1/tech03/18/harddisk.html )

Optical Disk


ออปติคอลไดรว์(Optical Drive) : เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านหรือบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นซีดี/ดีวีดีด้วยกระบวนการทำงานของแสงเลเซอร์ ปัจจุบันอุปกรณ์ออปติคอลไดรว์มีอยู่หลายอย่างดังนี้
ซีดีรอมไดรว์(CD-ROM Drive)
              เป็นไดรว์ที่อ่านข้อมูลจากแผ่านซีดี(CD) ได้เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถบันทึกหรือเขียนข้อมูลลงไฟบนแผ่นได้

ดีวีดีรอมไดรว์ (DVD-ROM Drive)
             เป็นไดรว์ที่สามารถอ่านข้อมูลได้จากแผ่นซีดี (CD) และดีวีดี (DVD) แต่สามารถบันทึกหรือเขียนข้อมูลงไปบนแผ่นได้ ซึ่งแผ่นดีวีดีโดยทั่วไปมีขนาดเท่ากับแผ่นซีดีแต่หนาหว่าเล็กน้อย และมีขนาดความจุข้อมูลสูงกว่าแผ่นซีดี

ซีดีไรท์เตอร์ (CD ReWriter)
              หรือมักเรียกว่า ซีดีอาร์ดับบลิวไดรว์ (CD-RW Drive) สามารถอ่านและเขียนข้อมูลลงบนแผ่นซีดีได้เหมาะสำหรับการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากๆโดยแผ่นซีดีที่นำมาใช้เขียนหรือบันทึกข้อมูลลงไปนั้นจะเป็แผ่น CD-R

คอมโบไดรว์ (combo Drive)
              เป็นไดรว์รวมเอาความสามรถในการอ่านขอมูลจากแผ่นซีดีและดีวีดี และการเขียนข้อมูลลงบนแผ่นซีดีอาร์ดับบลิวเข้าด้วยกัน โดยช่วยประหยัดเนื่อที่กว่าการมีไดรว์ 2 ตัวอยู่ในเครื่อง และประหยัดงบประมารลงไปได้มากปัจจุบันคอมโบไดรว์กำลังหมดความนิยมลงไปเช่นกัน เนื่องจากถูกแทนที่ด้วยดีวีดีไรท์เตอน์ (DVD ReWriter) ที่มีราคาถูกลงมาก
ที่มาข้อมูล : http://computerdodee.blogspot.com/2009/11/optical-drive.html 

disk drive


  

          เครื่องจานแม่เหล็ก (disk drive) เป็นเครื่องที่ใช้อ่านและบันทึกข้อมูลบนจานแม่เหล็ก มีหลักการทำงานคล้ายเครื่องเล่นจานเสียงธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่แทนที่จะมีเข็มกลับมีหัวอ่านและหรือหัวบันทึก (read-write head) คล้ายเครื่องแถบแม่เหล็กที่เคลื่อนที่เข้าออกได้ เครื่องจานแม่เหล็ก มีสองแบบ คือ
 1. แบบจานติดอยู่กับเครื่อง (fixed disk)
 2.แบบยกจานออกเปลี่ยนได้ (removable disk)

(ที่มารูปภาพ : http://www.school.net.th/library/snet1/hardware/ddisk.html )

ชนิดของหน่วยความจำ

1. ฮาร์ดดิสก์
ฮาร์ดดิสก์ (hard disk) จะเก็บข้อมูลลงในแผ่นโลหะอะลูมิเนียมที่เคลือบด้วยวัสดุเหล็กออกไซด์ ข้อมูลที่เก็บลงบนฮาร์ดดิสก์จะอ่านหรือบันทึกด้วยหัวอ่านบันทึก ซึ่งมีวิธีการแทนข้อมูลเป็นค่าศูนย์หรือหนึ่งด้วยทิศทางของเส้นแรงแม่เหล็ก ฮาร์ดดิสก์ที่มีความหนาแน่นของเส้นแรงแม่เหล็กสูงก็จะมีความจุสูง นอกจากนี้ขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์ยังขึ้นกับกลไกของหัวอ่านบันทึกของหน่วยขับฮาร์ดดิสก์ และสารแม่เหล็กของวัสดุที่เคลือบบนแผ่นจานแม่เหล็ก

ฮาร์ดดิสก์
การบันทึกข้อมูลในฮาร์ดดิสก์จะแบ่งเป็นวงรอบเรียกว่า แทร็ก (track) แทร็กนี้จะต่างกับกรณีของร่องแผ่นเสียงที่เป็นวงแบบก้นหอยเข้าศูนย์กลาง แต่จองฮาร์ดดิสก์จะเก็บข้อมูลเป็นวงครบรอบหลายๆวง ฮาร์ดดิสก์ที่ผลิตมาจากโรงงานส่วนใหญ่ยังใช้เก็บข้อมูลไม่ได้ ต้องทำการจัดรูปแบบแผ่นหรือที่เรียกว่า การฟอร์แมต (format) เสียก่อน ขั้นตอนการฟอร์แทตเริ่มจากการสร้างแทร็กก่อน และในแต่ละแทร็กจะแบ่งออกเป็นส่วนๆที่เรียกว่า เซ็กเตอร์ (sector)  ความจุของฮาร์ดดิสก์สามารถคำนวณจากจำนวนแผ่นบันทึกข้อมูล จำนวนแทร็กในแต่ละแผ่น และจำนวนเซ็กเตอร์ในแต่ละแทร็ก โดย 1 เซ็กเตอร์จะมีเนื้อที่เก็บข้อมูลเท่ากับ 512 ไบต์
เนื่องจากฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถทำงานเก็บข้อมูลเองได้ จำเป็นต้องมีแผงวงจรควบคุมมาทำงานประกอบ ตามปกติแผงวงจรนี้จะใช้เสียบเข้าช่องติดตั้งแผงวงจร เพื่อแปลงสัญญาณที่จะเข้าหรือออกจากฮาร์ดดิสก์ แผงวงจรควบคุมแต่ละชุดจะมีรหัสเฉพาะสำหรับติดต่อกับหน่วยขับฮาร์ดดิสก์ ไม่สามารถนำแผงวงจรควบคุมอื่น ๆ ที่ใช้รหัสต่างกันมาอ่านบันทึกข้อมูลได้ จะต้องนำฮาร์ดดิสก์นั้นมาฟอร์แมตใหม่ให้สามารถใช้กับแผงวงจรควบคุมนั้น แผงวงจรควบคุมส่วนใหญ่ที่ใช้งานสามารถจำแนกตามตัวต่อประสาน (Interface) ได้เป็น 4 ระบบ คือ ระบบ ST-506/412 ระบบ ESDI (Enhanced Small Device Interface) ระบบ SCSI (Small Computer System Interface) และระบบ IDE (Integrated Drive Electronics) แต่สองชนิดแรกนั้นไม่มีใช้ในปัจจุบันแล้ว จึงจะขอกล่าวถึงเฉพาะสองชนิดสุดท้าย ดังนี้
1)  ระบบ SCSI 
เป็นระบบที่นิยมใช้กันมากในขณะนี้ เพราะระบบนี้นอกจากสามารถควบคุมฮาร์ดดิสก์แล้ว ยังสามารถควบคุมระบบเส้นทางส่งถ่ายข้อมูลกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีโพรเซสเซอร์อยู่ในตัวเอง ทำให้เป็นส่วนเพิ่มขยายสำหรับแผงวงจรใหม่ และสามารถใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่อเสริมอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น โมเด็ม ซีดีรอม เครื่องกราดตรวจ และเครื่องพิมพ์ แผงวงจรควบคุม SCSI หนึ่งแผงจะสนับสนุนการต่อได้ 8 อุปกรณ์ ดังนั้นจึงเหลือให้ต่ออุปกรณ์ได้เพิ่มอีก 7 อุปกรณ์
2)  ระบบ IDE 
ระบบนี้จัดเป็นระบบใหม่ที่มีขนาดความจุใกล้เคียงกับ SCSI แต่มีราคาต่ำกว่า ปัจจุบันนิยมบรรจุ IDE รวมอยู่ในแผงวงจรซีพียู ทำให้มีช่องติดตั้งว่างให้ใช้งานอื่น ๆ เพิ่มขึ้น คอมพิวเตอร์รุ่นเก่าก็สามารถใช้ IDE ได้ แต่ต้องเพิ่มแผงวงจรการเชื่อมโยงกับช่องเสียบแผงวงจร (Slot)
การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ นอกจากจะต้องพิจารณาเครื่องขับแล้ว จะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 
1. ความเข้ากันได้ของตัวควบคุม
โดยตัวควบคุมฮาร์ดดิสก์จะต้องเข้ากันได้พอเหมาะกับตัวฮาร์ดดิสก์เอง ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็จะมีผลกระทบต่อระบบความเชื่อถือของข้อมูลด้วย
2.  อัตราการโอนย้ายข้อมูลและเวลาแสวงหาข้อมูล
อัตราการโอนย้ายข้อมูล (Data Transfer Rate) เป็นอัตราเร็วที่ข้อมูลสามารถอ่านขึ้นมาจากฮาร์ดดิสก์หรือความเร็วสูงสุดที่ข้อมูลจะไหลจากผิวจานแม่เหล็กไปยังตัวควบคุม ตามปกติจะมีหน่วยเป็นล้านบิตต่อวินาที (Mb/S) ส่วนเวลาแสวงหาข้อมูล (Seek Time) เป็นเวลาของการเคลื่อนย้ายหัวอ่านบันทึกจากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งเพื่อการค้นหาข้อมูล เวลาแสวงหานี้ฮาร์ดดิสก์แต่ละรุ่นใช้เวลาแสวงหาไม่เท่ากัน คืออยู่ในช่วง 20 – 9 มิลลิวินาที
3.  ขนาดความจุ
ฮาร์ดดิสก์มีความจุระดับจิกะไบต์ ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าเท่าใด ขนาดความจุฮาร์ดดิสก์จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น แต่กลับมีราคาลดลง

2 .แผ่นบันทึก


แผ่นบันทึก (Floppy Disk) และเครื่องขับแผ่นบันทึก (Floppy Diskdrive)
แผ่นบันทึกเป็นหน่วยความจำรองที่มีความจุสูง มีลักษณะคล้ายแผ่นเสียง เคลือบด้วยสารเหล็กออกไซด์ เพื่อให้สามารถเก็บบันทึกสนามแม่เหล็กบน สารที่เคลือบนั้น การเก็บบันทึกของแผ่นบันทึกข้อมูลจะมีหลักการคล้ายกับจานเสียงที่จะบันทึกเป็นร่องต่อเนื่องเป็นวงแบบก้นหอยเข้าหาศูนย์กลาง แต่การเก็บบันทึกข้อมูลในแผ่นบันทึกจะวนรอบบรรจบกันเป็นวงกลมหลาย ๆ วง โดยมีหัวสำหรับอ่านและเขียนข้อมูล เลื่อนเข้าออกจากศูนย์กลางของแผ่นตามแนวเส้นตรง ในขณะที่แผ่นบันทึกจะหมุนรอบแกนด้วยความเร็วสูง ทำให้การเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรงรวดเร็วกว่าแถบบันทึกที่เป็นการเข้าถึงข้อมูลแบบลำดับ
แผ่นบันทึกจะเป็นแผ่นพลาสติกไมลาร์ที่เคลือบด้วยสารเหล็กออกไซด์ แล้วห่อหุ้มด้วยแผ่นใยสังเคราะห์ ในระยะเริ่มแรกแผ่นบันทึกมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว และหน่วยขับแผ่นบันทึก (Disk Drive) มีราคาแพง จึงไม่ค่อยนิยมใช้กันมากนัก ต่อมามีการพัฒนาให้มีแผ่นบันทึกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กลงเป็น 5.25 นิ้ว สามารถพกพาติดตัวได้สะดวก แผ่นบันทึกขนาด 5.25 นิ้ว จะมีช่องเปิดสำหรับอ่านบันทึกข้อมูลกว้างมาก จนอาจทำให้มีฝุ่นหรือสิ่งสกปรก ตลอดจนรอยนิ้วมือประทับบนแผ่น มีผลทำให้ข้อมูลที่เก็บไว้เสียหายได้ง่าย จึงมีการพัฒนาให้บรรจุในตลับพลาสติกแข็ง และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลดลงเป็น 3.5 นิ้ว จะมีความทนทานมากขึ้น ขณะเดียวกันช่องเปิดสำหรับอ่านบันทึกข้อมูลจะถูกปิดคลุมไว้อย่างอัตโนมัติทันทีที่นำแผ่นบันทึกข้อมูลออกจากหน่วยขับแผ่นบันทึก   ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น แผ่นบันทึกมีแนวโน้มที่จะเก็บข้อมูลได้มากยิ่งขึ้น แผ่นบันทึกขนาด 5.25 นิ้ว จะมีความจุเพียง 360 กิโลไบต์หรือ 1.2 เมกะไบต์ ส่วนแผ่นบันทึกขนาด 3.5 นิ้ว จะมีความจุ 720 กิโลไบต์หรือ 1.44 เมกะไบต์

3.ซีดีรอม 
แผ่นซีดีรอม(CD-ROM)
จากอดีตที่ผ่านมาฮาร์ดดิสก์มีบทบาทและความสำคัญต่อการใช้งานสูงมาก ความจุของฮาร์ดดิสก์ได้เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่มีความจุเพียง 10 เมกะไบต์ ในปัจจุบันมีความจุหลายสิบจิกะไบต์ ราคาของฮาร์ดดิสก์ก็ลดต่ำลงจนทำให้ขนาดความจุต่อราคาถูกลงมาก และมีผลดีกว่าการใช้แผ่นบันทึกข้อมูล ไมโครคอมพิวเตอร์จึงมีฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์พื้นฐานประกอบอยู่ด้วยเสมอ ถึงแม้ว่าฮาร์ดดิสก์จะได้รับการพัฒนาไปมากแล้วก็ตาม แต่ความต้องการใช้แหล่งเก็บข้อมูลขนาดเล็กที่สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากและพกพาได้สะดวกก็ยังมีอยู่ แม้แผ่นบันทึกข้อมูล 3.5 นิ้ว สะดวกในการพกพา แต่ความจุยังไม่พอกับความต้องการ เพราะโปรแกรมสมัยใหม่จะเป็นโปรแกรมที่ต้องใช้เนื้อที่มาก ดังนั้น จึงมีการพัฒนาแหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีจานแสง (Optical Disk) ซึ่งมีจุดเด่นที่สำคัญคือการอ่านหรือบันทึกข้อมูลที่ไม่ต้องให้หัวอ่านกดลงหรือสัมผัสกับจาน การอ่านจะใช้ลำแสงส่องและสะท้อนกลับ จานก็มีขนาดเล็ก กะทัดรัด ไม่อ่อน ไม่ต้องกลับหัวอ่าน และคงทน มีอายุการใช้งานได้ยาวนาน
จากเทคโนโลยีจานแสง มีการพัฒนาซีดีรอม (Compact Disk Read Only Memory :CD-ROM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้จานแสงกับเครื่องเสียง การใช้ซีดีรอมในระบบคอมพิวเตอร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อเก็บข้อมูลจำนวนมาก และสามารถเก็บข้อมูลในรูปข้อความ ข่าวสาร รูปภาพ เสียง รวมทั้งภาพวีดิโอไว้ในแผ่น ซึ่งพร้อมที่จะนำมาใช้ได้ทันที แผ่นซีดีรอมหนึ่งแผ่นสามารถเก็บข้อมูลได้ถึงสามแสนหน้าหรือเทียบได้กับหนังสือ 150 เล่ม
หน่วยขับซีดีรอม (CD-ROM Drive) เป็นสิ่งที่ต้องต่อเพิ่มลงในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถอ่านข้อมูลที่อยู่ในซีดีรอมได้ และหากให้หน่วยขับซีดีรอมมีช่องสัญญาณต่อกับเครื่องขยายเสียง จะทำให้ใช้ร่วมกันกับแผ่นที่ใช้เล่นเพลงได้ การอ้างอิงความเร็วในการอ่านข้อมูลของหน่วยขับซีดีรอม กำหนดเป็น 1x 2x หรือ 30x ซึ่งหมายถึงการเปรียบเทียบเป็นจำนวนเท่าของความเร็วในการอ่านข้อมูลของซีดีรอมรุ่นแรกสุด ซึ่งอ่านข้อมูลด้วยความเร็ว 150 กิโลไบต์ต่อวินาที ดังนั้นหากนักเรียนพบหน่วยอ่านซีดีรอมที่เขียนความเร็วในการอ่านข้อมูลเป็น 30x ก็หมายความว่าหน่วยขับซีดีรอมนั้นอ่านข้อมูลด้วยความเร็วสามสิบเท่าของ 150 กิโลไบต์ต่อวินาที หน่วยขับซีดีรอมในปัจจุบันมีราคาไม่แพงและสามารถอ่านข้อมูลด้วยความเร็วตั้งแต่ 30x จนถึง 50x การใช้งานซีดีรอมส่วนใหญ่ใช้เก็บข้อมูล สารานุกรม คัมภีร์ไบเบิล แผนที่ ข้อมูลงานวิจัย หรือเอกสารทางวิชาการที่สำคัญ หรือ ซอฟต์แวร์ โดยผู้ขายซอฟต์แวร์จะนำโปรแกรมทั้งหมดบรรจุในแผ่นซีดีรอมที่มีความจุที่ 600 เมกะไบต์
ในอดีตการบันทึกข้อมูลลงในซีดีมีความยุ่งยากมาก ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะที่มีราคาแพง แผ่นซีดีแต่ละแผ่นก็สามารถบันทึกข้อมูลได้ครั้งเดียว ข้อมูลที่จะบันทึกต้องเป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากหากข้อมูลที่บันทึกมีน้อย แต่ใช้สื่อที่มีความจุสูง จะทำให้เนื้อที่ที่เหลือสูญเปล่า แต่ปัจจุบันการเขียนหรือบันทึกข้อมูลลงในซีดีรอมทำได้ง่ายขึ้น โดยมีการผลิตแผ่นซีดีที่สามารถบันทึกได้ หรือที่เรียกว่า “ซีดีอาร์” (CD Recordable : CD-R) เป็นแผ่นซีดีที่สามารถบันทึกโดยใช้หน่วยขับที่สามารถใช้บันทึกข้อมูลได้ (CD-R Drive) แผ่นซีดีประเภทนี้มีลักษณะเหมือนแผ่นซีดีธรรมดาแต่มีสีทอง ซึ่งแผ่นซีดีที่เราพบทั่วไปมีสีเงิน แผ่นซีดีอาร์มีราคาไม่แพงมาก  จึงเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการบันทึกข้อมูล โดยข้อมูลที่บันทึกในแผ่นซีดีอาร์นั้นสามารถนำไปอ่านได้โดยใช้หน่วยขับซีดีรอมทั่วไปได้ ข้อมูลที่บันทึกไปแล้วไม่สามารถลบหรือบันทึกทับได้ แต่หากในการบันทึกมีเนื้อที่เหลืออยู่ สามารถบันทึกข้อมูลอื่นลงในเนื้อที่ว่างดังกล่าวได้
ด้วยคุณสมบัติที่ยังไม่สามารถเก็บข้อมูลได้เหมือนกับแผ่นบันทึก ได้มีการพัฒนาแผ่นซีดีที่สามารถลบและบันทึกใหม่ได้ หรือ ซีดีอาร์ดับเบิลยู (CD-RW) ขึ้น แผ่นซีดีชนิดนี้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับแผ่นบันทึกมาก คือ สามารถบันทึกข้อมูลโดยใช้หน่วยบันทึกแผ่นซีดีอาร์ดับเบิลยู (CD-RW Drive) และสามารถใช้อุปกรณ์ดังกล่าวลบข้อมูลที่บันทึกไว้ในแผ่น แล้วบันทึกข้อมูลอื่นทับได้เหมือนการใช้งานแผ่นบันทึกหรือฮาร์ดดิสก์
4 . ดีวีดี

ดีวีดี (Digital Versatile Disk : DVD)
ดีวีดี (Digital Versatile Disk : DVD) พัฒนามาจากเทคโนโลยีจานแสงเช่นเดียวกับซีดีรอม เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีการพัฒนาทั้งในด้านความจุข้อมูลและความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล โดยแผ่นดีวีดีสามารถเก็บข้อมูลได้ประมาณ 4.7 ถึง 17 จิกะไบต์ และมีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลอยู่ในช่วง 600 กิโลไบต์ถึง 1.3 เมกะไบต์ต่อวินาที และด้วยคุณสมบัติเด่นดังกล่าวจึงนำดีวีดีมาใช้ในการบรรจุภาพยนตร์แทนซีดีรอม ซึ่งต้องใช้ซีดีรอมมากกว่า 1 แผ่นในการเก็บข้อมูลภาพยนตร์ทั้งเรื่อง แต่หากใช้ดีวีดีในการเก็บภาพยนตร์ สามารถเก็บทั้งภาพและเสียงของภาพยนตร์ทั้งเรื่องไว้ในดีวีดีเพียงแผ่นเดียว และคุณภาพของข้อมูลที่เก็บสูงกว่าคุณภาพของข้อมูลในซีดีรอมหรือสื่อชนิดอื่นมาก ในท้องตลาดปัจจุบันจึงนิยมผลิตภาพยนตร์ในรูปของดีวีดีจำหน่ายแทนเลเซอร์ดิสก์ (Laser Disk) และวีดิโอเทป
สำหรับการอ่านข้อมูลในดีวีดีต้องใช้หน่วยขับดีวีดี ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถอ่านข้อมูลทั้งจากแผ่นดีวีดีและแผ่นซีดีรอม

5. หน่วยความจำแบบแฟลช

หน่วยความจำแบบแฟลช (Flash Memory) เป็นหน่วยความจำประเภทรอมที่เรียกว่า “อีอีพร็อม” (Electrically Erasable Programmable Read Only Memory : EEPROM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำข้อดีของรอมและแรมมารวมกัน ทำให้หน่วยความจำชนิดนี้สามารถเก็บข้อมูลได้เหมือนฮาร์ดดิสก์ คือ สามารถเขียนและลบข้อมูลได้ตามต้องการ และเก็บข้อมูลได้ แม้ไม่ได้ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หน่วยความจำชนิดนี้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาได้สะดวก มักใช้เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลในอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล เช่น กล้องดิจิทัล กล้องวีดิทัศน์ที่เก็บข้อมูลแบบดิจิทัล ในปัจจุบันมีบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายบริษัทผลิตหน่วยความจำแบบแฟลชรูปแบบต่าง ๆ ออกมาเพื่อใช้งานกับผลิตภัณฑ์ของตนเอง เช่น บริษัทแซนด์ดิสด์ ได้ผลิตหน่วยความจำแบบแฟลชที่เรียกว่า “การ์ดคอมแพ็กแฟลช” ใช้กับกล้องดิจิตอลและเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาทั่วไป เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คและปาล์มท็อป ในขณะที่บริษัทโซนี่ผลิตหน่วยความจำแบบแฟลชที่เรียกว่า “เมมโมรีสติ๊ก” (Memory Stick) เพื่อใช้งานเฉพาะกับกล้องดิจิทัล กล้องวีดิทัศน์ ที่ผลิตโดยบริษัทโซนี่เอง



หน่วยความแบบแฟลชชนิดหนึ่งเรียกว่า แฮนดีไดรฟ์ (Handy Drive) สามารถเก็บข้อมูลได้เหมือนแผ่นบันทึก มีขนาดเล็กเท่านิ้วมือ ต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยพอร์ต USB  พอร์ตแบบยูเอสบีที่กำลังเป็นที่นิยมใช้ในการต่อพ่วงอุปกรณ์ภายนอกเข้ากับคอมพิวเตอร์




Port HDMI


HDMI เป็นระบบการเชื่อมต่อภาพและเสียงแบบใหม่ ย่อมาจากคำว่า (H)igh (D)efinition (M)ultimedia (I)nterface โดย HDMI จะเชื่อมต่อทั้งสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอลแบบไม่มีการบีบอัดข้อมูลไว้ในสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ให้ความคมชัดของภาพ มีความละเอียด มีความคมลึกและให้เสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขั้วต่อของ HDMI to HDMI จะผลิตจากทองแท้ 24 K  ด้วยนะคะ  ทุกวันนี้ HDMI ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์ Home Theatre หลายอย่างเช่น พลาสม่าทีวี  แอลซีดีทีวี เครื่องเล่นดีวีดี ฯลฯ

 
ปัจจุบันการใช้ HDMI เหมาะกับอุปกรณ์เครื่องเสียงทั่วไป แต่ที่กำลังนิยมและเจริญเติบโดตในปัจจุบันคือการทำ HTPC (Home Theater Personal Computer) ซึ่งก็คือ การนำคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่มีความใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ต่อเข้ากับทีวีที่มีช่องต่อ HDMI ทำให้ลดอุปกรณ์ลงและสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตและอื่นๆ ได้บนจอทีวีของเรานี่เอง ส่วนตัวของผมเองนั้น ชอบมาก เพราะว่าไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องเสียงหรือเครื่องเล่น DVD ผมจะใช้ Notebook เล่นแผ่น DVD ออกทาง ทีวีได้เลย มาทั้งภาพและเสียงในช่องทาง (Port HDMI) เดียว


แหล่งที่มา : http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=5c7e91d5d01614a2

Port Fire Wire


นักวิชาการเรียกว่า IEEE1394 High Performance Serial Bus มีลักษณะรูปร่างหน้าตาและลักษณะการใช้งานคล้าย USB มาก แต่ FireWire สามารถทำงานที่ความเร็วสูงกว่า USB มาก (ปัจจุบันมี Data Transfer Rate 400 Mbps) และ FireWire มีจุดใช้งานหลักอยู่บนเครื่อง Macintosh ซึ่งในปัจจุบันมี mainboard ของ PC ทั่วไปที่มี port FireWire มาให้บ้างแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่นิยมกัน เนื่องจากราคาค่อนข้างสูง และอุปกรณ์สนับสนุนส่วนใหญ่ยังเป็นของ Macintosh 

แหล่งที่มา : http://www.zabzaa.com/tips/showtips.asp?GID=134

Port Mouse

   เป็นพอร์ต์ที่ใช้สำหรับต่อสายเม้าส์กับสายคีย์บอร์ดเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเรียกว่าพีเอสทูเม้าส์หรือพีเอสทูคีย์บอร์ด ซึ่งพอร์ตจะมีรูกลมหกรู แล้วก็รูสี่เหลี่ยมหนึ่งรู ซึ่งปลายสายคีย์บอร์ดหรือเม้าส์ก็จะมีเข็มที่ตรงกับตำแหน่งของรูที่พอร์ตด้วย การเสียบสายเม้าส์และคีย์บอร์ดเข้าไป ต้องระวังให้เข็มตรงกับรู สำหรับพอร์ตเม้าส์และคีย์บอร์ดนั้นจะใช้ Color Key แสดงเอาไว้ สีเขียวคือต่อสายเม้าส์ ส่วนสีน้ำเงินต่อสายคีย์บอร์ด นอกจากนี้ยังมีจุดสังเกตุอีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อประกอบเมนบอร์ดเข้ากับเคส ที่เคสจะมีสัญลักษณ์รูปเม้าส์กับรูปคีย์บอร์ด ติดอยู่ เพื่อให้ต่อสายเม้าส์และคีย์บอร์ดได้ถูกต้อง


PS2 Mouse - Keyboard

แหล่งที่มา : http://www.zabzaa.com/hardware/ps2_port.htm

Port Keyboard


  พอร์ตแป้นพิมพ์ควรจะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในช่วงต้นของการเชื่อมต่อการควบคุมของคุณเที่ยวบินรองดาดฟ้าซอฟแวร์ซิมของคุณ หลังจากที่เกมพอร์ตหรือพอร์ต USB ขึ้นอยู่กับชนิดของเที่ยวบินหลักของการควบคุมที่คุณใช้พอร์ตแป้นพิมพ์มีความยืดหยุ่นมากที่สุดในการควบคุมการทำงานของซิมของคุณ 

พอร์ตคีย์บอร์ด

แหล่งที่มา : http://www.mikesflightdeck.com/interfacing/keyboard_port.html

Port Digital Video


   พอร์ตที่เรียกว่าเป็นอาร์ซีเอหรือพอร์ตวิดีโอส่วนที่มีร่วมกันในระดับ high-end กล้องวิดีโอดิจิตอล พวกเขาใช้ชุดของสามหลุมสีสำหรับติดสายสามง่าม (หรือชุดของสายเดียวง่าม) พอร์ต A / V ที่ใช้พอร์ตสีแดงและสีขาวสำหรับทั้งสองช่องทางของเสียงและพอร์ตสีเหลืองที่สามสำหรับวิดีโอ กล้องบางรวมทั้งยังมี S-วิดีโอหรือ HDMI พอร์ตวิดีโอสำหรับการเชื่อมต่อโดยตรงไปยังดาดฟ้าโทรทัศน์หรือวิดีโอ

พอร์ตวิดีโอมีสีแดงสีเหลืองและสีขาวรหัสสี



แหล่งที่มา : http://www.ehow.com/list_7298714_types-camera-port-connections.html

Port Digital Audio

 การติดต่อการแสดงผลแบบดิจิตอลที่พัฒนาขึ้นโดยสมาคมมาตรฐานอิเล็กทรอนิกส์วิดีโอ (VESA) อินเตอร์เฟซที่ใช้งานเป็นหลักในการเชื่อมต่อแหล่งวิดีโอไปยังอุปกรณ์แสดงผลเช่นจอคอมพิวเตอร์แม้ว่ามันจะยังสามารถใช้ในการส่งรูปแบบเสียง, USB, และอื่น ๆ ของข้อมูล

ข้อกำหนด VESA เป็นค่าภาคหลวงฟรี . VESA มันออกแบบมาเพื่อแทนที่VGA , DVIและFPD-Link . ความเข้ากันได้ย้อนหลังกับ VGA และ DVI โดยใช้อะแดปเตอร์ที่ใช้งาน dongles ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้แหล่งวิดีโอโดยไม่ต้องติดตั้ง DisplayPort เปลี่ยนอุปกรณ์แสดงผลที่มีอยู่
รุ่นแรก, 1.0 ได้รับการอนุมัติโดย VESA เมื่อ 3 พฤษภาคม 2006 เวอร์ชั่น 1.1a ได้รับการอนุมัติเมื่อ  2 เมษายน 2007 ตามมาตรฐานปัจจุบัน 1.2 เมื่อ 22 ธันวาคม 2009

แหล่งที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/DisplayPort

Port Digital Camera

กล้องดิจิตอลที่สามารถจับภาพและวิดีโอที่มีคุณภาพสูงมากและนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดความไม่สมบูรณ์โดยอัตโนมัติและปรับองค์ประกอบแสงเพื่อผลิตภาพที่ดีที่สุด รับไฟล์ลงในหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิดีโอสำหรับการแก้ไขหรือการจัดนิทรรศการอาศัยกล้องเชื่อมต่อพอร์ตที่ใช้หนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งสายมาตรฐานในการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่


ชนิดของการเชื่อมต่อพอร์ตกล้อง thumbnail


แหล่งที่มา : http://www.ehow.com/list_7298714_types-camera-port-connections.html

พอร์ตมัลติมีเดีย (Multimedia Port)

     ปัจจุบันนี้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง มักจะติดตั้งการ์ดเสียงมาให้ด้วย ซึ่งการ์ดนี้จะมีช่องสำหรับต่อกับลำโพง ไมโครโฟน และพอร์ตสำหรับต่อกับจอยสติ๊กอยู่ในตัวโดยพอร์ตต่าง ๆ นั้นจะใช้สีแสดงหน้าที่การทำงาน เช่น ช่องสำหรับต่อลำโพงจะใช้แจ๊กสีเขียว ส่วนไมโครโฟนจะแทนที่ด้วยสีแดง และสีอื่น ๆ สำหรับแทนที่ Line In และ Line Out นอกจากนั้นการ์ดเสียงรุ่นราคาถูก อาจจะไม่ใช้สีแสดงการทำงานของแจ๊กแต่ละตัว แต่จะมีสัญลักษณ์แสดงการทำงานสลักติดอยู่แทน

     เป็นอย่างไรบ้าง สำหรับส่วนประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ทางด้านหลังของคอมพิวเตอร์ ไม่ยากเกินที่จะเรียนรู้ว่าพอร์ตไหนเป็นพอร์ตอะไรใช่ไหม อันที่จริงพอร์ตด้านหลังคอมพิวเตอร์ยังมีอีกหลายชนิดด้วยกัน แต่ที่ไม่กล่าวมาอาจจะไม่สำคัญมากนัก เลยขอละไว้

วีจีเอ พอร์ต (VGA Port)

    พอร์ตนี้สำหรับต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับมอนิเตอร์ เป็นพอร์ตขนาด 15 พิน ในคอมพิวเตอร์บางเครื่องอาจจะติดตั้งการ์ดสำหรับถอดรหัสสัญญาณ MPEG เพิ่มเข้ามาซึ่งลักษณะของพอร์ตนั้นจะคล้าย ๆ กันแต่การ์ด MPEG จะมีพอร์ตอยู่สองชุดด้วยกันสำหรับเชื่อมไปยังการ์ดแสดงผลหนึ่งพอร์ต และต่อเข้ากับมอนิเตอร์อีกหนึ่งพอร์ต ดังนั้นเครื่องใครที่มีพอร์ตแบบนี้ ก็ควรจะบันทึกไว้ด้วย เพราะไม่งั้นอาจจะใส่สลับกัน จะทำให้โปรแกรมบางตัวทำงานไม่ได้

Control Port

พอร์ตควบคุม 1 การเชื่อมต่อที่ถูกบล็อก
สินค้า
รูปแบบไฟล์ PDF
โบรชัวร์ (PDF, 1.0M)
พอร์ตควบคุม1 การเชื่อมต่อที่ถูกบล็อกให้โซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพค่าใช้จ่ายสำหรับการติดตั้งหนึ่งในห้องพักเช่นห้องเรียนที่ต้องมีการควบคุมในผนังและทั้งอินฟราเรดและการควบคุม RS-232 ของอุปกรณ์ท้องถิ่น ลดาวัลย์-1 ให้อำนาจในการหนึ่ง RTI ตัวควบคุมระบบในผนังและมีสองพอร์ตเอาท์พุทที่ช่วยให้การเชื่อมต่อได้ถึงสองเดียวหรือสอง emitters อินฟราเรด นอกจากนี้ยังประกอบด้วยพอร์ต RS-232 สำหรับการควบคุมของอุปกรณ์โดยไม่ต้องใช้หน่วยประมวลผล RTI

คุณสมบัติที่สำคัญ

ให้พลังงานสำหรับหนึ่งในผนังควบคุม
อินพุตอีซีแอลอินฟราเรด
ตัวแปรการส่งออกพลังงาน IR
ช่วยให้ RTI ควบคุมในผนังในการติดต่อสื่อสารผ่านทางเดียว RS232 ไปยังอุปกรณ์โดยไม่ต้องประมวลผล
เหล็กก่อสร้าง
แหล่งจ่ายไฟ 16VDC รวม
ข้อมูลจำเพาะ

อำนาจ  16 VDC, 1.6A
จำนวนเอาท์พุทพอร์ต IR  สอง
พอร์ตเอาท์พุท  แจ็ค 3.5 มม.
ทำงานร่วมกับมาตรฐานอุตสาหกรรม emitters IR
ไดรฟ์ออก IR  สูงสุด 100mA (พอร์ตต่อปรับระดับได้)
อินพุตอินฟราเรด  เข้ากันได้กับขาประจำมาตรฐานอุตสาหกรรมและรับ
RS-232  การเชื่อมต่อ RJ45
รวม RJ45 เพื่อ DB9 อะแดปเตอร์
กรงขัง  เหล็กรูปผงเคลือบสีดำ
การติด  ติดผนังหรือยืนฟรี
ขนาด (กว้าง x สูง x ลึก)  4.0 "(102mm) x 3.5" (89mm) x 1.1 "(28mm)
น้ำหนัก  8.4oz (238g)
การประกัน  หนึ่งปี (parts & labor)
* ทั้งหมดข้อมูลจำเพาะนี้อาจเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

http://translate.google.co.th

Serial Port

นี้ RS232C DE-9 พอร์ต (miscalled มัก DB-9) เป็นเรื่องธรรมดามากและสามารถใช้ได้ในเกือบทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ใด ๆ ดวงอาทิตย์บางคน (อย่างน้อยอัลตร้า 5/10 ใบมีดดัน 100/150) และคอมพิวเตอร์อื่น ๆ อีกมากมาย เอกสารรวมถึงรายละเอียดของวิธีพีซีเมาส์แบบอนุกรมทำงาน
RS-232 (เรียกว่าอนุกรมพอร์ต COM) เป็นติดต่อกันและส่วนใหญ่ของ Nowdays พีซีจะติดยังคงอยู่กับอินเตอร์เฟซอนุกรมหนึ่งหรือสอง (RS232C) การเชื่อมต่อ นี้อินเตอร์เฟซพอร์ตอนุกรมเครื่องคอมพิวเตอร์เดียวจบ (เชื่อมต่อเพียงสองอุปกรณ์กับแต่ละอื่น ๆ ) อัตราข้อมูลที่เป็นน้อยกว่า 20 กิโลบิตต่อวินาที มันเป็นอินเตอร์เฟซวงแรงดันไฟฟ้าแบบอนุกรมกับการสื่อสารสองเต็มแสดงโดยระดับแรงดันไฟฟ้าที่เกี่ยวกับพื้นดินระบบพื้นดินร่วมกันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงเป็นสิ่งที่จำเป็น ร้อนปลั๊กอินไม่สนับสนุน แต่อนุญาตให้บางครั้ง
DE-9 PinSignal NameDirDescriptionIDC internal
 (newer)*
IDC internal
(older)*
1DCD<--Data Carrier Detect11
2RXD<--Receive Data23
3TXD-->Transmit Data35
4DTR-->Data Terminal Ready47
5GND---System Ground59
6DSR<--Data Set Ready62
7RTS-->Request to Send74
8CTS<--Clear to Send86
9RI<--Ring Indicator98

พีซี สัญญาณ pinout พอร์ตอนุกรม

ตั้งแต่ คอมพิวเตอร์ พอร์ตอนุกรม จะขึ้นอยู่กับ RS-232 มาตรฐานคุณ อาจจะพบ รายละเอียด ใน สัญญาณRS-232 เอกสาร pinout อินเตอร์เฟซ

มาตรฐาน RS232 แพ็คเก็ต ข้อมูล

ข้อมูล RS232 มักจะ ถูกส่ง เป็น แพ็คเก็ต ที่มี 7 หรือ 8 บิต คำ, เริ่มหยุด , บิต ความเท่าเทียมกัน ( อาจจะ แตกต่างกัน ) ส่ง ตัวอย่าง ที่แสดง ในภาพ : บิต เริ่มต้น ( ที่ใช้งานอยู่ ในระดับต่ำ ปกติระหว่าง 3 V และ 15 V ) ตามด้วย บิตข้อมูล บิต ความเท่าเทียมกัน ( ขึ้นอยู่กับ โปรโตคอลที่ใช้ ) และจบ โดย บิตหยุด ( ใช้เพื่อนำ ตรรกะ สูง ปกติระหว่าง - 3V และ - 15v )

ตัวอย่าง อุปกรณ์ พอร์ต อนุกรม RS232 วิธี การทำงาน แบบอนุกรม เมาส์

พีซี เมาส์ โดยทั่วไป ระบบ การควบคุมการ มี ส่วน ต่อไปนี้: เซ็นเซอร์ -> เมาส์ ควบคุม - เชื่อมโยงการสื่อสาร > -> อินเตอร์เฟซ ข้อมูล - > ไดร์เวอร์ - ซอฟแวร์ > เซ็นเซอร์ ตรวจจับ การเคลื่อนไหวที่ รู้สึก การเคลื่อนไหวของเมาส์และ ปุ่ม swiches ซึ่ง รู้สึกรัฐ ปุ่ม เมาส์ ควบคุมการ อ่าน ของรัฐ เซ็นเซอร์ เหล่านั้น และใช้เวลา acount ของ ตำแหน่งของเมาส์ ในปัจจุบัน เมื่อ ข้อมูลเหล่านี้ มีการเปลี่ยนแปลง ตัวควบคุม เมาส์จะส่ง แพ็คเก็ต ข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ แบบอนุกรม ควบคุม อินเตอร์เฟซ ข้อมูล โปรแกรมควบคุมเมาส์ใน คอมพิวเตอร์ ที่ได้รับ ว่า แพ็คเก็ต ข้อมูลและการ ถอดรหัส ข้อมูล จากมันและ ไม่กระทำ บนพื้นฐานของข้อมูล

พีซี RS232 ระดับแรงดันไฟฟ้า แบบอนุกรม เมาส์ :

เมาส์ ใช้ มาตรฐาน RS- 232C สัญญาณ เอาท์พุท ( + - 12V ) เป็น สัญญาณ ของ เอาท์พุท ที่มี ใน 12 V เมื่อเมาส์ เป็นผู้ดำเนินการ เมาส์ จะใช้เวลา ในปัจจุบัน บางส่วน จากแต่ละRS- 232C เส้น เอาท์พุท พอร์ต ที่เชื่อมต่อ (ประมาณ 10mA ) หนู ส่งข้อมูลไปยัง คอมพิวเตอร์ ใน ระดับ ที่ รับ ชิป RS- 232C ใน คอมพิวเตอร์สามารถ uderstand เป็น RS- 232C ระดับการรับเข้า เอาท์พุท เมาส์ เป็นปกติ บางอย่างเช่น + - 5V , 0 .. 5V หรือบางครั้ง + - 12V อิเล็กทรอนิกส์ เมาส์ ปกติใช้ แรงดัน 5 V


อุปกรณ์ การใช้งาน แบบอนุกรม ฮาร์ดแวร์

พีซี เมาส์ แบบอนุกรม มักจะ ใช้ เส้น RTS และ DTR สำหรับการสร้าง ไฟขนาด +5 V วงจร ไมโครคอนโทรลเลอร์ ใน เมาส์ เพราะ เมาส์ optomechanical ทั่วไป ยังต้องการ พลังงานสำหรับ 4 ไฟ LED ในเครื่องตรวจจับ movevement OPTOCOUPLER มีไม่ อำนาจมาก จะหลวม วิธีการ โดยทั่วไปคือการ ใช้ ไดโอด ที่จะใช้ ปัจจุบันจาก DTR และเส้น RTS และ แล้วฟีด มันผ่าน ตัวต้านทาน ทั้งหมดของไฟ LED ( อินฟราเรด ) ใน การตรวจจับ การเคลื่อนไหว แหล่งจ่ายไฟบวก มา มักจะมาจาก ทีเอส และเส้น DTR ( หลัง ไดโอดก่อน และ ตัวต้านทานจะไป ไฟ LED ) อุปทาน เชิงลบ สำหรับ เครื่องส่งสัญญาณ จะมาจาก TD ขา อนุกรมเครื่องคอมพิวเตอร์ เมาส์ พอร์ต โดยทั่วไป จะใช้เวลา ทั้งหมด 10 mA ในปัจจุบันและ ทำงานที่ แรงดันไฟฟ้าช่วง 6- 15V ข้อมูลตัวเองใน ส่งโดยใช้ แบบ RS- 232C รูปแบบมาตรฐาน แบบอนุกรม 

              Start D0  D1  D2  D3  D4  D5  D6  D7  Stop
   Logic 0      ___ ___ ___ ___ ___ ___ ___ ___ ___
  +3..+15V     |   |   |   |   |   |   |   |   |   |
               |   |   |   |   |   |   |   |   |   |
               |   |   |   |   |   |   |   |   |   |
   Logic 1     |   |   |   |   |   |   |   |   |   |
  -3..-15V  ___|   |___|___|___|___|___|___|___|___|____

Serial mouse pinout explanation

PinSignalDescription
shellProtective Ground
3TDSerial data from host to mouse (only for power)
2RDSerial data from mouse to host
7RTSPositive voltage to mouse
8CTS
6DSR
5Signal Ground
4DTRPositive voltage to mouse and reset/detection
RTS = ขอให้ส่ง CTS = Clear เพื่อส่ง DSR = ชุดข้อมูลพร้อม DTR = ข้อมูลสถานีพร้อม
เมื่อสาย DTR มีการสลับเมาส์ควรส่งหนึ่งไบต์ข้อมูลที่มีตัวอักษร M (ASCII 77) เพื่อระบุตัวเอง เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องทั้ง RTS และ DTR สายจะต้องบวก สาย DTR-DSR RTS และ CTS-ต้องไม่ shorted ใช้ฟังก์ชั่น RTS สลับโดยการตั้งค่าเส้น RTS ลบและบวกอีกครั้ง ความกว้างของพัลส์ลบคือ 100ms อย่างน้อย หลังจากบูตเย็น, สาย RTS ตั้งปกติไปยังระดับที่ติดลบ ในกรณีนี้การตั้งค่าเส้น RTS ให้อยู่ในระดับบวกถือว่ายัง RTS สลับ

RS232 พารามิเตอร์ข้อมูลอนุกรมและรูปแบบแพ็คเก็ต
1200bps, 7 databits, 1 สถานีบิต
แพ็คเก็ตข้อมูลเป็นแพ็คเก็ตไบต์ 3 มันคือการส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงสถานะเมาส์ (ย้ายเมาส์หรือคีย์ถูกกด / ปล่อยออกมา)
         D7 D6 D5 D4 D3 D2 D1 D0

1 X 1 LB RB Y7 Y6 X6 X7
2 X 0 X5 X4 X3 X0 X1 X2
3 X 0 Y5 Y4 Y3 Y2 Y1 Y0
หมายเหตุ: บิตที่มีเครื่องหมาย X คือ 0 ถ้าเมาส์ที่ได้รับกับ 7 databits และ 2 หยุดรูปแบบบิต นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่จะใช้ 8 databits และรูปแบบ 1 บิตหยุดการรับ ในกรณีนี้ X ได้รับมูลค่า 1สิ่งที่ปลอดภัยที่สุดที่จะได้รับการทำงานทุกอย่างคือการใช้ 7 databits และ 1 stopbit เมื่อได้รับข้อมูลเมาส์ (และถ้าคุณกำลังทำเมาส์แล้วส่งออก 7 databits และ 2 บิตหยุด)
ไบต์ที่มีเครื่องหมาย 1 คือการส่งครั้งแรกที่คนอื่น ๆ แล้ว D6 บิตในไบต์แรกจะใช้สำหรับการ syncronizing ซอฟต์แวร์เพื่อแพ็คเก็ตเมาส์ถ้าจะไปออกจากซิงค์
LB เป็นสภาวะของการปุ่มซ้าย (1 หมายถึงกดลง); RB เป็นรัฐที่ปุ่มด้านขวา (1 หมายถึงกดลง); การเคลื่อนไหว X7-X0 ในทิศทาง X ตั้งแต่แพ็คเก็ตล่าสุด (ไบต์ลงนาม); การเคลื่อนไหว Y7-Y0 ใน ทิศทาง Y ตั้งแต่แพ็คเก็ตล่าสุด (ไบต์ลงนาม)

หน่วยความจำสำรอง


วิวัฒนาการของ PORT USB